ธุรกิจเกี่ยวกับ อาหารสัตว์เลี้ยง กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนทั้งสินค้าและผู้ประกอบการรายใหม่เกิดขึ้นมากมาย ในขณะเดียวกัน ฝั่งผู้บริโภคที่เป็นคุณพ่อคุณแม่สัตว์เลี้ยงก็หันมาใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพของลูกรักสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยมีพฤติกรรมเลือก อาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีคุณภาพให้แก่สัตว์เลี้ยงของตนเอง
ในอดีต สัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในรูปแบบ “เจ้าของสัตว์เลี้ยง” แต่ในปัจจุบัน มนุษย์เรียกสัตว์ในความดูแลว่า “ลูก” รูปแบบความสัมพันธ์จึงกลายเป็น “พ่อแม่สัตว์เลี้ยง” ซึ่งแนวคิดความสัมพันธ์ลักษณะนี้นำไปสู่พฤติกรรมการเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงที่แตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
พ่อแม่สัตว์เลี้ยงตระหนักถึงสุขภาพ สวัสดิภาพ และการรักษาสัตว์อย่างเหมาะสมมากขึ้น เริ่มต้นจากการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ การตระเตรียมที่อยู่อาศัยภายในบ้านร่วมกับมนุษย์ พาไปพบสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเมื่อสัตว์เลี้ยงเจ็บป่วย เหล่านี้คือการหลอมรวมเอาสัตว์เลี้ยงเข้ามาเป็นหนึ่งในรูปแบบความสัมพันธ์แบบครอบครัว
ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง จึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของพ่อแม่สัตว์เลี้ยงในยุคปัจจุบัน เช่น การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพและหลากหลายมากขึ้น กระบวนการผลิตที่เป็นสากลและปลอดภัย รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจที่ต้องใส่ใจเรื่องความยั่งยืน ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนและประชาคมโลกกำลังให้ความสำคัญ
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อความต้องการสินค้าของพ่อแม่สัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้กำลังการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย เกิดเป็นผลกระทบต่อเนื่องไปยังทรัพยากรตั้งต้นที่ต้องนำเข้าสู่กระบวนการผลิตมากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ พืชปศุสัตว์ และวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีความกังวลว่าอาจะเกิดผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมทั้งเรื่องการใช้ที่ดินเพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง และการใช้พลังงานในภาคการผลิตและการขนส่ง
จากประเด็นความกังวลที่กระบวนการผลิตจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ผู้ประกอบการหลายรายจึงหันมาพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงที่ใช้ “วัตุดิบทางเลือก” เพื่อช่วยลดการบริโภคทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และต้องควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไปพร้อมกัน
จะดีกว่าไหม ถ้าคุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงและโลก ไปพร้อมกันได้
ปัจจุบัน การผลิตอาหารมนุษย์เลือกใช้วัตถุดิบทางเลือกมากขึ้น เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากรและผลกระทบจากภาวะโลกรวน โดยเฉพาะวัตถุดิบที่จำเป็นประเภทโปรตีน ที่มีผู้ผลิตหลายรายหันมาใช้โปรตีนจากพืช (Plant-based protein) และโปรตีนจากแมลง (Insect-based protein) เพิ่มมากขึ้น
อาหารสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน ผู้ประกอบการหลายรายหันมาสนใจใช้แหล่งโปรตีนทางเลือก แทนเนื้อสัตว์มากขึ้น เพื่อหวังจะให้การดูแลลูกรักสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในหนทางดูแลโลกของเราไปพร้อมกัน
JAIKLA หรือ ใจกล้า แบรนด์ขนมน้องหมาสัญชาติไทย ที่มีแนวคิดเรื่องความยั่งยืนอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มวางแผนธุรกิจ โดยมีผู้ก่อตั้งร่วมกันระหว่างโด่ง-อิทธิกร เทพมณี และเพชร-พชรพล อัจฉริยะศิลป์ ได้ส่ง “ขนมน้องหมาที่ใช้โปรตีนจากแมลง” เข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย
โด่งเล่าว่า “ความมั่นคงทางอาหารกำลังสั่นคลอนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่ ห่วงโซ่การบริโภคอาหารของมนุษย์ได้ส่งผลให้เกิด “ขยะอาหาร” ถึงหนึ่งในสามของปริมาณอาหารที่ผลิตออกมา”
“ด้วยความได้เปรียบของภูมิศาสตร์ประเทศไทยที่สามารถเลี้ยงแมลงได้ตลอดทั้งปี บวกกับองค์ความรู้เรื่องการผลิตโปรตีนจากแมลง ที่ผมได้ศึกษาค้นคว้าจากงานวิจัย ทำให้เกิดเป็นแนวคิดที่จะสร้างธุรกิจบนหลักการเรื่องความยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็อยากนำหลักการธุรกิจหมุนเวียนเข้ามาจัดการกับเรื่องขยะอาหารด้วย” โด่งกล่าวเสริม
จากข้อมูลที่สืบค้นมาอย่างมากมายเพื่อประกอบการตัดสินใจ โด่งเริ่มลงมือตั้งฟาร์มเลี้ยง ตัวหนอน (Lavae) ของแมลง Black Soldier Fly ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เติบโตได้ครบวงจรชีวิตในประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องนำเข้าสายพันธุ์จากประเทศ รวมถึงได้รับการรับรองจากงานวิจัยระดับนานาชาติว่าปลอดภัยสำหรับการบริโภค และเลือกใช้อาหารส่วนเกินจากซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงหนอน
“ในอาหารมนุษย์ ผู้บริโภคหลายคนที่ได้ยินคำว่า โปรตีนจากแมลง อาจเกิดกำแพงทางอารมณ์ขึ้นทันที ซึ่งสร้างความรู้สึกไม่น่ารับประทานอาหารทางเลือกชนิดนี้” เพชร ผู้ร่วมก่อตั้ง JAIKLA กล่าวและเสริมว่า “แต่เมื่อเรานำไปใช้สำหรับผลิตขนมน้องมา กำแพงทางอารมณ์ก็ลดน้อยลง”
โด่งและเพชรต่างก็มีน้องหมาเป็นลูกกันทั้งคู่ “ในฐานะพ่อแม่น้องหมา การให้ขนมคือรางวัล” เพชรเล่าว่า “เรื่องนี้มองได้หลายแบบ ตามหลักโภชนาการ เราให้อาหารที่เพียงพอและสมดุลก็ได้ แต่ถ้าเราอยากสร้างแรงจูงใจให้ลูกของเราทำอะไรใหม่ หรือการฝึกให้เชื่อฟังคำสั่ง ขนมคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และประสบการณ์ร่วมระหว่างพ่อแม่กับน้องหมา แค่เราเรียกเขามา ขอจับมือเขาแล้วเขาให้มือ หรือมาทำตาแป๋วใส่ แค่นี้เราก็อยากให้รางวัลแล้ว”
ดังนั้น ถ้าเราสามารถเลือกขนมน้องหมาที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันน้องหมาก็ได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพ นั่นก็หมายความว่า เรากำลังเลือกที่จะดูแลน้องหมาและโลกไปพร้อมกันได้
ส่วนประกอบที่มีคุณภาพ คือการแสดงออกถึงความห่วงใยจากพ่อแม่ถึงลูกรักสัตว์เลี้ยง
นอกจากโปรตีนที่ได้จากแมลงแล้ว ในขนมสุนัขของ JAIKLA ยังมีส่วนผสมของโอเมกา-3 และ 6 จากน้ำมันปลา ที่ช่วยบำรุงเรื่องผิวหนังและขนของสุนัข ขนมน้องหมาจาก JAIKLA จึงเป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพ และยังดีต่อโลกด้วยกระบวนการผลิตที่อยู่บนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
“พวกเราเริ่มตั้งแต่การเก็บเศษผัก และขยะอาหารจากแหล่งต่างๆ ที่สะอาดและปลอดภัย ซึ่งตามปกติจะถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ เพื่อเป็นอาหารให้หนอนแมลงวันมาในฟาร์ม นี่จึงเป็นจุดแรกที่การผลิตขนมหมาของเราช่วยกู้โลก” เพชรกล่าว
โด่งเล่าเสริมว่า “จากนั้น ระยะหนอนแมลงวันจะกลายเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพในขนมน้องหมา แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มูลจากการย่อยเศษอาหารของหนอนแมลงวัน สามารถนำไปแปรรูปเป็นปุ๋ยชีวภาพชั้นเยี่ยม เพื่อปลูกพืชผลสำหรับผลิตอาหารมนุษย์ และในอนาคต อาหารเหลือทิ้งเหล่านั้นก็จะนำกลับมาเป็นอาหารของหนอนแมลงวันในรุ่นต่อๆ ไป”
ด้วยแนวคิดนี้จึงส่งผลให้กระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนเป็นผลิตภัณฑ์ขนมสุนัข เกิดของเสียขึ้นน้อยมาก และเป็นหนึ่งในแนวทางช่วยกู้โลกของเรา
แบรนด์ JAIKLA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2020 ในชื่อแรกคือ LAIKA ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสุนัขตัวแรกที่ไปเยือนอวกาศ ภารกิจในการก่อตั้งแบรนด์จึงยึดโยงกับแนวความคิดนี้ คือ การสำรวจองค์ความรู้ใหม่ด้านอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพและยั่งยืน
จากการเริ่มต้นส่ง LAIKA เข้าสู่ตลาดในวันแรก สู่การเปลี่ยนชื่อสู่ JAIKLA โด่งและเพชรได้พยายามพัฒนาขนมน้องหมาอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิดความยั่งยืน “เราอยากให้ JAIKLA เป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพน้องหมา ดีต่อใจคุณพ่อคุณแม่ และดีต่อสิ่งแวดล้อม เราทำงานกับนักโภชนาการสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ดังนั้น เราจึงมั่นใจมากๆ ว่า ขนมของ JAIKLA จะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพน้องหมา” โด่งกล่าว
ปัจจุบัน JAIKLA ผลิตขนมสุนัข 2 สูตรหลักประกอบด้วย Happy Vitamins โปรตีนแมลงผสมแคร์รอต ฟักทอง และมันม่วง ช่วยส่งเสริมเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน และระบบขับถาย สูตรที่สอง Cotton Touch ส่วนผสมของโอเมกา-3 และโอเมกา-6 เน้นการบำรุงผิวหนังและขนให้นุ่มน่าสัมผัส โดยทีม JAIKLA มีแผนจะผลิตขนมสูตรใหม่ออกมาจำหน่ายเร็วๆ นี้
ขั้นต่อไปของ JAIKLA คือการขยายการรับรู้ของแบรนด์ออกไปให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยมีหน้าร้านหลักบนช่องทางออนไลน์ และกำลังขยายการกระจายสินค้าไปยังร้านขายอาหารสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงการเข้าร่วมกิจกรรมน้องหมาที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มพ่อแม่สัตว์เลี้ยงที่สนใจแนวคิดเดียวกัน
“ผมคิดว่า เหตุผลเบื้องที่ทำให้พ่อแม่น้องหมาหลายท่านได้เปิดใจทดลองขนมสุนัขของเรา มาจากพวกเราเข้าหาลูกค้าในฐานะผู้มีประสบการณ์ร่วมกัน ไม่ใช้ผู้ผลิตกับลูกค้า” เพชรกล่าว
โด่งและเพชรกล่าวว่า การสร้างแบรนด์ JAIKLA ได้ช่วยส่งเสริมให้พวกเขาเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น ทั้งในแง่การเป็นนักธุรกิจที่ดีขึ้น เป็นประชากรที่ดีของสังคม และเป็นคุณพ่อหมาที่ดีขึ้น
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการกู้โลกร่วมกับ JAIKLA ได้ที่ https://www.facebook.com/jaiklapet/
เรื่อง ณภัทรดนัย
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ