ไม่ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยไปนานแค่ไหน เรามักจะเรียกเจ้าขนฟูของเราว่า “น้องแมว” เสมอ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อน้องเข้าสู่ช่วง แมวสูงวัย พฤติกรรมบางอย่างของเขาย่อมเปลี่ยนแปลงไป และต้องการการดูแลเอาใจใส่จากเราเป็นพิเศษ
โดยปกติ แมวสูงวัย จะเริ่มนับเมื่อแมวมีอายุประมาณ 7 – 8 ปี ซึ่งเราจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพวกเขาหลายอย่าง
อย่างแรกคือ พวกเขาจะนอนนิ่ง ๆ มากขึ้น ไม่กะปรี้กะเปร่า มวลกล้ามเนื้อลดลง ซึ่งส่งผลไปถึงการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันน้อยลง เช่น การกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือแม้แต่การเดินเข้ากระบะทราย รวมไปถึงการเลียแต่งขนตัวเองลดลงตามไปด้วย เกิดปัญหาเรื่องเส้นขนพันกันตามมา
นอกจากนี้ ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของแมวสูงวัย จะเสื่อมถอยลง โดยเฉพาะในแมวอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น โรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคไต รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะไม่แข็งแรงเหมือนช่วงวัยหนุ่มสาว
คำแนะนำจากสัตวแพทย์สำหรับการดูแลน้องแมวสูงวัยให้มีความสุข
1. สังเกต และรับรู้ ความเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแมว
แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มักจะไม่แสดงความเจ็บปวด หรือมักซ่อนอาการเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น แมวสูงอายุประมาณ 9 ใน 10 ตัว ไม่แสดงอาการโรคข้ออักเสบ แต่อาจตรวจพบจากการตรวจร่างกาย หรือเอกซเรย์
แมวที่ป่วยด้วยโรคข้ออักเสบมักมีอาการเดินขากะเผลก ขาเจ็บ แบบเป็น ๆ หาย ๆ เดินขาสั่น มีอาการลุกนั่งลำบาก เคลื่อนไหวร่างกายเปลี่ยนไป เช่น เชื่องช้า ไม่ยอมกระโดดขึ้นลงที่สูงจากที่เคยทำได้ ซึ่งเจ้าของสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นเหล่านี้ได้
ดังนั้น เมื่อแมวสูงวัยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคข้ออักเสบ การดูแลแมวให้มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม จึงเป็นวิธีการลดแนวโน้มที่แมวจะเกิดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบได้
2. กระตุ้นให้แมวดื่มน้ำมากขึ้น
เมื่อแมวอายุมากขึ้น พวกเขามีแนวโน้มที่จะเกิดอาการท้องผูก และโรคไต ดังนั้น เจ้าของอาจสลับให้อาหารเปียกมากขึ้น เพื่อให้แมวรับน้ำผ่านการกินอาหาร นอกจากนี้อาจจำเป็นต้องปรับลักษณะของชามน้ำให้มีลักษณะเป็นชามปากกว้าง หรือปรับมาใช้น้ำพุแมว เพื่อกระตุ้นให้แมวดื่มน้ำระหว่างวันมากขึ้นด้วย
3. ใส่ใจเรื่องอาหารและโภชนาการให้มากขึ้น
แมวสูงวัยต้องการอาหารที่แตกต่างจากช่วงวัยหนุ่มสาว และต้องมีส่วนสำคัญในการควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี
เจ้าของสามารถพาแมวไปปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับการเปลี่ยนอาหารอย่างเหมาะสม ซึ่งสัตวแพทย์จะช่วยประเมินปริมาณอาหารที่พอดีกับน้ำหนักตัวของแมว นอกจากนี้ แมวสูงวัยอาจเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร โดยกินเป็นมื้อย่อย ๆ อาจจะแบ่งอาหารใส่ชามในปริมาณที่แมวกินหมดภายในครั้งเดียว และให้อาหารวันละหลายรอบแทน
ในเรื่องของโภชนาการ เมื่อแมวอายุ 7 ปี ขึ้นไป เจ้าของควรปรับสูตรอาหารให้เหมาะกับช่วงวัย ด้วยอาหารแมวโตที่เลี้ยงในบ้าน 7 ปีขึ้นไป (Indoor 7+) ของโรยัล คานิน ที่มีให้เลือกทั้งชนิดเปียก และชนิดเม็ด โดยมีส่วนผสมที่สำคัญได้แก่ วิตามิน ซี อี ลูทีน ทอรีน ผสมผสานด้วยโพลีฟีนอล ที่สกัดจากชาขาวเขียว ซึ่งทั้งหมดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องชะลอความเสื่อมของเซลล์ รวมไปถึงกรดไขมันที่มีประโยชน์ อย่าง EPA และ DHA ที่เสริมสร้างการดูแลกระดูกและข้อต่อต่าง ๆ
ในอาหารแมวโตที่เลี้ยงในบ้าน 7 ปีขึ้นไป ของโรยัล คานิน ยังประกอบไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ย่อยและดูดซึมได้ง่าย รวมถึงลดกลิ่นอุจจาระได้ดี นอกจากนี้ยังปรับปริมาณแร่ธาตุฟอสฟอรัสให้เหมาะสมสำหรับแมวช่วงสูงวัย
สำหรับแมวที่มีอายุมากกว่า 12 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย โรยัล คานิน ได้จัดเตรียมอาหารแมวสูงวัย อายุมากกว่า 12 ปี (Ageing 12+) ที่เสริมความน่ากินด้วยเม็ด “อาหารสอดไส้” ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของแมวได้มากขึ้น
นอกจากมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เหมือนกับสูตร Indoor 7+ แล้ว ในสูตรนี้ยังเพิ่มสารไลโคปีน และโอเมก้า 3 เข้าไป เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการเสริมกรดอะมิโนชนิดทริปโตเพน (Tryptophan) ที่ช่วยดูแลการทำงานของระบบประสาทของแมวสูงวัย
รวมไปถึง อาหารสูตร Ageing 12+ ยังได้คำนวณปริมาณแร่ธาตุที่เหมาะสม ด้วยการปรับปริมาณฟอสฟอรัสในอาหาร เพื่อช่วยดูแลสุขภาพของไต
4. ดูแลสุขภาพช่องปากของน้องแมว
โรคเกี่ยวกับช่องปากและฟัน เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในแมวสูงอายุ เช่น อาการปวดฟัน ฟันหัก และโรคเหงือก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของแมว หากเจ้าของละเลยเรื่องสุขภาพในช่องปากจนนำไปสู่การติดเชื้อ อาจทำให้เชื้อโรคในปากแพร่เข้าสู่กระแสเลือดได้ และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปที่การทำงานของตับ ไต และหัวใจอย่างช้า ๆ
ดังนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของแมวสูงวัย จึงมีความจำเป็นมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟันสำหรับแมวโดยเฉพาะ รวมไปถึงเรียนรู้การแปรงฟันให้แมวอย่างถูกต้อง
5. ใช้เวลาเล่นกับแมว ให้แมวได้เคลื่อนไหวร่างกาย
เนื่องจากแมวสูงวัยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนนิ่ง ๆ เจ้าของจึงต้องมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้แมวเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น ด้วยการใช้ของเล่นที่แมวชอบ เช่น ไม้ตกแมว ลูกบอลที่มีเสียงกระดิ่ง ขนนก และของเล่นอื่น ๆ ที่เหมาะสม
อีกทั้งปรับความสูงของคอนโดแมวให้มีระดับเตี้ยลง เพื่อง่ายต่อการกระโดดขึ้นลงของแมว และถ้าแมวชอบขึ้นมานอนพักบนเตียงและโซฟา ควรจัดวางกล่อง หรือบันไดเตี้ย ๆ ไว้ข้างเตียง หรือโซฟา ซึ่งจะช่วยลดแรงกระแทก และลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบได้
6. พาแมวไปพบสัตวแพทย์บ่อยขึ้น
ในแมววัยหนุ่มสาว เจ้าของคุ้นเคยกับการพาแมวไปพบสัตวแพทย์ปีละครั้ง แต่เมื่อแมวอายุมากขึ้น บวกกับร่างกายที่เสื่อมถอยลง การไปพบสัตวแพทย์บ่อยขึ้น อาจช่วยให้เรารู้ทันว่า น้องแมวกำลังมีสุขภาพอย่างไร ก่อนที่อาการของโรคจะรุนแรงมากขึ้น
หากเจ้าของรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่า น้องแมวกำลังเจ็บป่วยด้วยโรคอะไร ก็จะช่วยรักษาคุณภาพชีวิตของแมวให้ดียิ่งขึ้นได้ โดยเฉลี่ยแล้วน้องแมวที่มีอายุมากกว่า 11 ปี ควรไปพบสัตวแพทย์ทุก ๆ 6 เดือน
แม้ว่าแมวของเราจะอายุมากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดปัญหาด้านสุขภาพเสมอไป หากเจ้าของเกิดความกังวลใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพของแมวสูงวัย สามารถปรึกษากับสัตวแพทย์ประจำตัวได้ทันที
รวมไปถึงการดูแลด้านโภชนาการให้เหมาะสมก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยแมวสูงวัยมีสุขภาพที่แข็งแรง และคุณภาพชีวิตที่ดีได้
สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ Royal Canin ได้ตามร้าน pet shop ทั่วไปและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
website : www.royalcanin.com/th
facebook : @RoyalCaninThailand
Application : Royal Canin Club (https://bit.ly/AppRoyalCaninClub)
line : Royal Canin Thailand
Tel : 02 026 2456
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : อาหารเปียก สำหรับสัตว์เลี้ยง: ความน่ากินที่สัตว์เลี้ยงตัวไหนก็อดใจไม่ไหว