ข้อดีและข้อเสียของ อาหารและขนมสำหรับสุนัขแต่ละประเภท

โภชนาการด้านน้ำดื่ม อาหารและขนมสำหรับสุนัข ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ผู้เลี้ยงควรให้ความสนใจ เพราะ อาหารที่สุนัขกินในแต่ละมื้อล้วนส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรง

ซึ่งโภชนาการที่ดีสำหรับสุนัขไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณอาหารเพียงเท่านั้น แต่คือการให้ อาหารและขนมสำหรับสุนัข ที่เหมาะสมกับความต้องการของสุนัขแต่ละตัวในแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้สุนัขมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ และมีอายุที่ยืนยาว

1. อาหารเม็ด หรืออาหารแห้ง (Kibble / Dry Dog Food)

อาหารประเภทนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะ สามารถหาซื้อได้ง่าย เก็บไว้ได้นาน มีให้เลือกหลายสูตร หลากยี่ห้อ ประกอบไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อสุนัขอย่างครบถ้วน ทำให้สามารถควบคุมปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อมื้อสำหรับสุนัขได้ง่าย นอกจากนี้การกินอาหารเม็ดยังเสมือนการได้ขัดฟันไปในตัว ทำให้สุนัขมีฟันแข็งแรง ช่วยลดแบคทีเรีย คราบหินปูน และช่วยลดปัญหากลิ่นปากได้อีกด้วย

2.อาหารแบบเปียก หรืออาหารกระป๋อง (Canned Dog Food / Wet Dog Food)

อาหารกระป๋องส่วนใหญ่มักจะมีเนื้อสัตว์ อย่าง เนื้อไก่ เนื้อวัว หรือเนื้อปลาเป็นส่วนประกอบหลัก และบางยี่ห้ออาจจะใส่พืชผัก อย่าง แครอท บร็อคโคลี หรือฟักทองลงไป เพื่อเพิ่มกลิ่น รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการให้แก่อาหาร จึงเหมาะสำหรับสุนัขมีปัญหาเรื่องการกิน เช่น เลือกกิน เบื่ออาหาร หรือป่วย นอกจากนี้อาหารกระป๋องยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 70-80% เพื่อทำให้อาหารมีเนื้อสัมผัสที่ดี และมีความชุ่มชื้น สามารถช่วยป้องกันการขาดน้ำได้ แต่ข้อเสียคือจะไม่สามารถเก็บไว้ได้นานหลังจากที่เปิดกระป๋อง รวมถึงควรทำความสะอาดฟันให้สุนัขบ่อยยิ่งขึ้น เพื่อลดกลิ่นปากและป้องกันปัญหาในช่องปาก

3.อาหารปรุงสุก (Home-cooked)

เมื่อสุนัขเปรียบเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เจ้าของหลายคนก็อยากจะเตรียมอาหารให้สุนัขด้วยตนเอง อยากให้กินดีอยู่ดีและมีสุขภาพที่ดี ซึ่งอาหารที่ปรุงสุกมักจะมีกลิ่นหอมกระตุ้นความอยากอาหารของสุนัขได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เจ้าของยังสามารถหมุนเวียนวัตถุดิบได้หลากหลาย ทำให้แต่ละมื้อไม่จำเจ แต่ควรควบคุมโภชนาการ และปริมาณให้เหมาะสม หากได้สูตรอาหารมาแล้ว ให้ตามอย่างเคร่งครัด เช่น ถ้าสูตรบอกให้ใส่เนื้อไก่พร้อมหนังก็ควรใส่ทั้งเนื้อและหนัง อย่าลอกหนังออกเพราะอาจจะทำให้ปริมาณไขมันไม่สมดุล และไม่ควรใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ้ว ลงไปในอาหาร เพราะ จะทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของสุนัขในระยะยาวได้

4. อาหารบาร์ฟ (Bones and Raw Food หรือ Biologically Appropriate Raw Food : BARF)

อาหารบาร์ฟเป็นการให้อาหารดิบหรืออาหารสดแก่สัตว์เลี้ยง เช่น เนื้อดิบ เนื้อติดกระดูก ปลาดิบ ไก่ดิบ หรือเครื่องในสัตว์เกรดเดียวกับอาหารของมนุษย์โดยไม่ผ่านการปรุงแต่ง เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมหรือทำให้ใกล้เคียงกับการกินในธรรมชาติของสุนัข ซึ่งการเตรียมอาหารในลักษณะนี้ เจ้าของควรเลือกเนื้อสัตว์ที่สดใหม่ในสัดส่วนที่สมดุล เหมาะสมกับอายุ และสายพันธุ์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าวัตถุดิบที่นำมาเป็นอาหารให้สุนัขนั้น ไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค วัตถุกันเสีย สีผสมอาหาร และสารปรุงแต่งอื่น ๆ แต่อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายจากธรรมชาติที่ไม่ถูกทำลายในกระบวนการผลิต หรือความร้อน

Tips กระดูกสัตว์เป็นแหล่งแคลเซียมตามธรรมชาติที่สำคัญ เจ้าของอาจจะให้กระดูกชิ้นใหญ่ เช่น กระดูกท่อนขาของหมูหรือวัว สำหรับการแทะเล่น เพื่อช่วยในการขัดฟันได้ ส่วนกระดูกที่มีขนาดเล็กและผ่านความร้อน เช่น กระดูกปีก หรือขาไก่ เจ้าของควรหลีกเลี่ยง เพราะ สัตว์เลี้ยงจะไม่สามารถย่อยได้ และเศษกระดูกอาจจะสร้างบาดแผลในท้องได้อีกด้วย

5. อาหารฟรีซดราย (Freeze Dried Dog Food)

เป็นอาหารดิบที่ผ่านกระบวนการสกัดเอาน้ำและความชื้นออกในจุดเยือกแข็งอย่างรวดเร็ว ทำให้อาหารชนิดนี้มีสารอาหารหลงเหลืออยู่มากกว่าอาหารเม็ดและอาหารกระป๋องที่ต้องผ่านกระบวนการที่มีความร้อนสูง รวมถึงมีลักษณะ รสชาติ สีสัน และเนื้อสัมผัสใกล้เคียงกับอาหารปกติมากที่สุด ส่วนใหญ่มักจะผลิตจากวัตถุดิบทางธรรมชาติที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น แซลมอน เนื้อไก่ ปลาแองโชวี่ หรือเนื้อเป็ด ซึ่งก่อนกินจะต้องเติมน้ำลงไป แล้วรอประมาณ 15 นาที เพื่อให้อาหารดูดซึมน้ำและคืนสภาพก่อน มิฉะนั้นอาหารจะเข้าไปดูดซึมน้ำจากร่างกายของสุนัข และทำให้เกิดอาการท้องอืดได้

6.ขนม และอาหารเสริม

นอกจากอาหารที่กินทั่วไปในแต่ละมื้อแล้ว เจ้าของหลายท่านอาจต้องการวิตามินและสารอาหารเพิ่มเติม เพื่อการดูแลสุนัขให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะสุนัขที่ตั้งครรภ์ ลูกสุนัข สุนัขแก่ หรือสุนัขป่วย เพื่อช่วยบำรุงร่างกายในด้านต่างๆ เช่น บำรุงสายตา ผิวหนัง เส้นขนหรือกระดูกและฟัน ซึ่งในบางครั้งอาจมาในรูปแบบของอาหารเสริมวิตามิน เช่น อาหารเสริมที่มีสารสกัดจากขมิ้น น้ำมันปลา วิตามินรวม (Multivitamin) หรือบางครั้งอาจมาในรูปของขนมขบเคี้ยว แต่หากสุนัขได้รับพลังงานหรือโภชนาการที่เกินมาเกินความจำเป็นของร่างกายก็อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาวได้

Tips น้ำมันตับปลา vs น้ำมันปลา เหมือนกันหรือไม่ ?

  • ขนมชนิดแท่ง (Stick) สามารถหาซื้อได้ง่าย และได้รับความนิยมมากที่สุด ส่วนใหญ่ผลิตมากจากเนื้อสัตว์ ตับ ผัก และนมเป็นหลัก มีลักษณะเป็นแท่ง ทั้งกลมและแบน มีความเหนียวนุ่ม ไม่แข็งมาก ทำให้สุนัขสามารถเคี้ยวได้อย่างเพลิดเพลิน
  • ขนมขัดฟัน (Dental Snack) เป็นขนมสำหรับสุนัขที่เน้นในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ แต่จะมีซิงค์ ซัลเฟต (Zinc Sulfate) และเอสทีทีพี (Sodium Triphosphate) ที่ดีต่อสุขภาพช่องปาก ช่วยป้องกันไม่ให้มีกลิ่นปาก คราบจุลินทรีย์ และคราบหินปูน มักมีขนาดและรูปทรงที่หลากหลาย เจ้าของจึงควรเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของสุนัข เพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขได้รับบาดเจ็บจากการกัดแทะ
  • ขนมคุกกี้ หรือบิสกิต (Biscuit) เป็นขนมปังชิ้นเล็กกรุบกรอบหลากหลายรสชาติ เช่น รสผัก รสตับ รสนม หรือเนื้อสัตว์ โดยมากจะนิยมให้เป็นของว่าง หรือใช้สำหรับการฝึกทักษะ แต่ต้องตรวจสอบโภชนาการให้ดี เนื่องจากขนมสุนัขประเภทนี้อาจมีส่วนผสมของคาร์โบไฮเดรตในปริมาณมากและมีโปรตีนน้อย ทำให้สุนัขไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร เจ้าของจึงอาจจะทำขนมในรูปแบบโฮมเมด (Homemade) เพื่อควบคุมเรื่องค่าใช้จ่ายและวัตถุดิบเองได้
  • นมอัดเม็ด (Milk Tablet Candy) ส่วนใหญ่ผลิตมาจากนมแพะ ซึ่งประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 อีกทั้งยังมีน้ำตาลแลคโตสน้อยกกว่านมชนิดอื่น จึงเหมาะสำหรับสุนัขที่มีอายุน้อย หรือลูกสุนัขที่ต้องการโปรตีนในการเจริญเติบโต
  • ไอศกรีมสำหรับสุนัข (Ice-cream) เป็นขนมที่มีสามารถช่วยคลายร้อน เติมความสดชื่นให้กับสุนัขในช่วงที่อากาศร้อนได้เป็นอย่างดี ประกอบไปด้วยวัตถุที่มีประโยชน์ให้พลังงานและวิตามิน อย่าง ผลไม้ นมแพะ หรือโยเกิร์ต และจะต้องไม่เติมน้ำตาล ไม่แต่งสี และไม่แต่งกลิ่น
  • เนื้อสัตว์อบแห้ง (Dried Meat) ผลิตจากเนื้อสัตว์แท้ 100 % ไม่ว่าจะเป็น สันในไก่ เนื้อวัว ตับ และสัตว์ทะเล อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติอร่อย สามารถทำเนื้ออบแห้งให้สุนัขเองได้โดยใช้เครื่องอบแห้ง

นอกจากนี้ ยังมีของเล่นที่ผลิตมาจากหนังสัตว์ เช่น หนังวัว หนังหมู และกระดูกอัดแข็ง ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นขนม
แต่ที่จริงแล้วของเล่นเหล่านี้จะมีลักษณะเนื้อสัมผัสที่หยาบและค่อนข้างแข็ง หากกินหรือกลืนอาจทำให้เกิดปัญหาที่ระบบทางเดินอาหาร และเป็นอันตรายได้ จึงเหมาะสำหรับการกัดแทะ ขัดฟัน และช่วยผ่อนคลายความเครียดมากกว่า