โรคพยาธิเม็ดเลือดในแมว อาจไม่ใช่โรคที่พบได้บ่อยเหมือนโรคติดเชื้อชนิดอื่น ๆ แต่ก็เป็นโรคสำคัญที่เจ้าของแมวควรตระหนัก และดูแลแมวอย่างระมัดระวัง
โรคพยาธิเม็ดเลือดในแมว คืออะไร
โรคพยาธิเม็ดเลือดในแมว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Haemotropic mycoplasma ซึ่งมีปรสิตภายนอก อย่างเห็บและหมัด เป็นพาหะนำโรค
เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านการกัดของเห็บและหมัด เชื้อโรคจะเข้าไปอาศัยอยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยไปรบกวนการทำงานตามปกติของเซลล์เม็ดเลือดแดง และทำให้จำนวนเซลล์เม็ดเลือดลดลง จนส่งผลต่อเนื่องถึงการทำงานตามปกติของอวัยวะภายใน
นอกจากนี้ การติดเชื้อยังเกิดขึ้นได้ผ่านการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกแมว การเกิดแผลเปิดจากการถูกกัดแล้วเชื้อผ่านเข้าทางบาดแผล และการรับเลือดจากแมวที่ติดเชื้ออยู่แล้ว
เชื้อพยาธิเม็ดเลือด Haemotropic mycoplasma แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
- Mycoplasma haemofelis (พบได้บ่อย และสร้างความรุนแรงของโรคมากที่สุด)
- Candidatus mycoplasma haemominutum
- Candidatus Mycoplasma turicensis
โดยเชื้อโรคแต่ละชนิดจะมีความรุนแรงในการก่อโรคแตกต่างกัน ที่ผ่านมาพบว่า แมวที่เลี้ยงระบบเปิดมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าแมวเลี้ยงระบบปิด และแมวที่เคยติดเชื้อพยาธิเม็ดเลือด หลังจากการรักษาจนอาการหายเป็นปกติดีแล้ว ยังสามารถเป็นพาหะนำโรคพยาธิเม็ดเลือดไปได้อีกหลายปี
อาการของแมวที่ติดเชื้อโรคพยาธิเม็ดเลือด
- ซึม และอาจจจะมีอาการอ่อนแรง
- เบื่ออาหาร
- มีไข้
- มีภาวะเยื่อเมือกซีด เลือดจาง หรือมีภาวะดีซ่าน (เยื่อเมือกและผิวหนังเป็นสีเหลือง)
- น้ำหนักลดลง
- ต่อมน้ำเหลืองโต
การตรวจวินิจฉัยโรคพยาธิเม็ดเลือด
การตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการตรวจหาเชื้อในเลือด เช่น การย้อมเลือดบนแผ่นสไลด์ และตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR ซึ่งเป็นวิธีที่แนะนำให้การตรวจเนื่องจากมีความจำเพาะ และความไว ในการตรวจหาเชื้อ
ร่วมกับสัตวแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย การวินิจฉัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การอัลตราซาวน์ช่องท้อง ซึ่งอาจจะพบอาการม้ามโตได้ ในแมวที่ติดเชื้อพยาธิเม็ดเลือด
การรักษาโรคพยาธิเม็ดเลือด
การรักษาการติดเชื้อในแมวจะรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ ยาต้านปรสิต และการดูแลแบบประคับประคองเป็นหลัก ซึ่งทานต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 – 4 สัปดาห์ขึ้นไป ในรายที่มีภาวะเลือดจางรุนแรงอาจจะต้องมีการถ่ายเลือดร่วมด้วย
ในบางรายที่มีการเหนี่ยวนำให้เกิดความผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ส่งผลให้เกิดการแตกของเม็ดเลือดแดงอย่างรวดเร็วผิดปกติ อาจจำเป็นต้องใช้ยากดภูมิร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย และหลังจากรักษาหายแล้ว เจ้าของต้องพาแมวมาพบสัตวแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผลการรักษาเป็นระยะ
โรคพยาธิเม็ดเลือดในแมวเป็นโรคที่สามารถรักษาได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องรีบรักษาทันทีตั้งแต่อาการของโรคยังไม่รุนแรง แมวบางตัวแม้ว่าอาการของโรคจะไม่แสดงออกแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นพาหะของโรคได้ เจ้าของสาามารถดูแลด้วยการปรับสภาพแวดล้อมให้แมวไม่มีความเครียด และพบสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการป่วยไม่กำเริบ
การป้องกันโรคพยาธิเม็ดเลือด
การป้องกันที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพยาธิเม็ดเลือดคือ การป้องกันหมัดซึ่งเป็นพาหะในการนำโรค ด้วยการใช้ยาหยดควบคุมหมัดเป็นประจำ และการเลี้ยงแมวระบบปิดเพื่อลดโอกาสการได้รับเชื้อจากการโดนกัดจากแมวที่มีการติดเชื้อ
แม้ว่า การติดเชื้อโรคพยาธิเม็ดเลือดจะสามารถรักษาให้หายได้ แต่เจ้าของควรตระหนักการป้องกันโรค และเรื่องความรุนแรงของโรคเมื่อแมวได้รับเชื้อ ซึ่งบางครั้ง ถ้ารักษาไม่ทัน หรืออาการของโรคพัฒนารุนแรงขึ้น อาจทำให้แมวเสียชีวิตได้
บทความโดย
สพ.ญ.ปิยวรรณ ภู่ระหงษ์ สัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลแมว PURRfect Cat Hospital
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ – โรคไข้หัดแมว หรือ โรคลำไส้อักเสบติดต่อในแมว