“พยาธิเม็ดเลือด” ศัตรูเงียบที่หมาไม่ได้กัด… แต่มันกัดหมา
บางครั้ง หมาที่คุณรัก อาจดูแค่ “ซึมลงนิดหน่อย” หรือ “ไม่ค่อยกินข้าว” แบบที่เจ้าของหลายคนเคยเห็น… แต่รู้ไหมว่า อาการน้อยนิดเหล่านั้น อาจเกิดจาก “สิ่งเล็กจิ๋วที่แฝงตัวอยู่ในเลือด” และมันชื่อว่า “พยาธิเม็ดเลือด”
พยาธิเม็ดเลือด คืออะไร
พยาธิเม็ดเลือด คือ ปรสิตที่เข้าไปทำลายเม็ดเลือดของหมา โดยมีเห็บเป็นพาหะ พูดง่าย ๆ คือ เห็บกัด เท่ากับพยาธิเข้าสู่ร่างกายหมา ส่งผลให้เม็ดเลือดถูกทำลาย และน้องหมาอ่อนแรง และหากไม่ได้รับการรักษา อาจถึงขั้นทำให้น้องหมาเสียชีวิตได้เลย
มาทำความรู้จักศัตรูให้ชัด : พยาธิเม็ดเลือดตัวหลัก ๆ ที่เจอบ่อยในไทย
- Babesia canis / B. gibsoni – ทำลายเม็ดเลือดแดง ทำให้หมาซีด ตัวเหลือง ม้ามโต ไข้สูง
- Ehrlichia canis – ทำลายเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด ทำให้ภูมิคุ้มกันตก เลือดออกง่าย หมาอ่อนแรง และซึม
- Anaplasma spp. – คล้ายกับ Ehrlichia แต่อาการเบากว่า พบในบางพื้นที่
- Hepatozoon canis – เข้าสู่ร่างกายผ่านการกิน “เห็บ” เข้าไป ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ เจ็บขา ไข้เรื้อรัง และอ่อนแรง
ผลกระทบต่อสุขภาพ : แม้ว่าพยาธิจะตัวเล็กแค่ไหน ก็อันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะพยาธิเม็ดเลือดสามารถทำให้หมาคุณ …
- ซีด เขียว เหลือง หรือน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
- มีไข้เรื้อรัง ไม่ยอมกินอาหาร
- เดินไม่ไหว เจ็บขา ม้ามและตับโต
- ภูมิคุ้มกันตก ติดเชื้อง่าย
- ถ้าเข้าสู่ระยะเรื้อรัง อาจไตพัง หรือเสียชีวิตได้โดยไม่มีสัญญาณเตือน

ถ้าคุณชอบพาหมาไปเที่ยวบ่อย ต้องใส่ใจอะไรเพิ่มบ้าง?
1. ต้องใช้ “ยากันเห็บหมัด” อย่างสม่ำเสมอ และมีประสิทธิภาพ
เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เช่น แบบกิน (เช่น Nexgard, Simparica, Bravecto) หรือแบบหยอดหลัง (Frontline, Revolution) โดยใช้เป็นประจำตามระยะเวลาที่ระบุบนเอกสารกำกับยา ไม่ขาด ไม่ล่าช้า ถ้ามีน้องหมาหลายตัว ควรทายาทั้งกลุ่มพร้อมกัน เพื่อป้องกันการ “วนเวียนติดเห็บกันเอง” นอกจากนี้ ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อาจปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องวัคซีนป้องกันบางชนิดของพยาธิเม็ดเลือด (เช่น Babesia canis)
2. สำรวจตัวน้องหมาทุกครั้งหลังกลับจากนอกบ้าน
เจ้าของสามารถตรวจสอบปรสิตภายบนตัวน้องหมาได้โดย ใช้มือคลำบริเวณหลังใบหู ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ถ้ากรณีที่เป็นเห็บตัวเล็กอาจยังไม่เกาะแน่น สามารถใช้หวีสาง หรือผ้าชุบน้ำเช็ดตัวหลังกลับบ้าน ส่วนน้องหมาที่มีเห็บเกาะบนผิวหนัง ให้ใช้ “คีมดึงเห็บ” อย่างถูกวิธี โดยระวังอย่าดึงแรง เพราะหัวเห็บอาจค้างอยู่ในผิวหนัง
3. อาบน้ำ เช็ดตัว เป่าขนให้แห้งทุกครั้งหลังวิ่งลุยหญ้า
การอาบน้ำให้น้องหมา ไม่ใช่เพื่อความสะอาดอย่างเดียว แต่เป็นการช่วยลดความชื้น ที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเห็บและยังช่วยให้เราเห็นบาดแผลเล็ก ๆ หรือเห็บตัวเล็กที่แอบตามซอกได้ง่ายขึ้น
4. อย่าลืมเรื่อง “กันภายใน” ด้วยการตรวจพยาธิเม็ดเลือดปีละ 1-2 ครั้ง
การตรวจพยาธิเม็ดเลือด สามารถทำได้โดยการเจาะเลือด และน้องหมาทุกตัวควรได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเจ้าของที่พาหมาออกไปเที่ยวนอกบ้านบ่อย ๆ ถ้าหมาเคยติดพยาธิมาแล้ว ควรตรวจซ้ำทุก 6 เดือน เพราะพยาธิบางชนิดไม่มีอาการชัด แต่ทำลายระบบภายในเงียบ ๆ การตรวจแบบ PCR หรือ smear จะช่วยให้เจอพยาธิในระยะเริ่มต้นได้
5. หากมีเห็บเยอะ ให้พ่นยาบริเวณที่อยู่ของหมาด้วย
บริเวณสนามหญ้า บ้านนอกเมือง รีสอร์ตที่เคยมีหมาหลายตัว อาจเป็นแหล่งของบรรดาเห็บ เจ้าของควรพ่นน้ำยาฆ่าเห็บในพื้นที่ หรือใช้สารธรรมชาติช่วย เช่น น้ำส้มควันไม้เจือจาง และหลีกเลี่ยงการนอนพื้นดินโดยตรง
ฝากไว้ให้คิด “ชีวิตกลางแจ้งของหมา ไม่ควรต้องแลกด้วยพยาธิ” การพาหมาไปเที่ยว ไม่ผิดเลย ตรงกันข้าม มันดีต่อใจหมาและเจ้าของมาก แค่ต้องเปลี่ยนจาก “ไปเที่ยวแล้วปล่อยตามใจ” เป็น “ไปเที่ยวอย่างรู้เท่าทัน”
เรื่องจริงของบ้านผู้เขียน… เราเคยเกือบเสียน้องไปหมา เพราะพยาธิเม็ดเลือดมาแล้ว ด้วยความที่ว่า หมาของเรา “ไข้สูงแต่ยังกินข้าว” เราเองจึงไม่ได้รีบพาไปหาหมอทันที สุดท้ายพบว่าเป็น Babesia ที่ทำให้ม้ามโต และไตเริ่มพัง แต่ด้วยโชคดีที่รักษาทัน แต่นั่นไม่ใช่ทุกบ้านจะโชคดีเหมือนกัน ดังนั้น การป้องกันและการสังเกต คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด พยาธิเม็ดเลือด – ไม่เห็น ไม่ใช่แปลว่าไม่มี เพราะเห็บตัวเดียว อาจเปลี่ยนชีวิตหมาได้ทั้งชีวิต
บทความโดย
คุณภาณุ ศรีรัตนประภาส ผู้ก่อตั้งเพจ ส่ายหาง The Happy Tails
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ – โรคพยาธิเม็ดเลือดในแมว
