ตลาดสัตว์เลี้ยงไทย โตไม่หยุด เจาะอินไซต์มัดใจทาสด้วยโมเดล 5P

ถอดรหัสลับ ตลาดสัตว์เลี้ยงไทย 1 แสนล้าน! เจาะอินไซต์มัดใจ Pet Parent ด้วยกลยุทธ์ 5P และกุญแจสำคัญ “Peace of Mind

ภาพรวม ตลาดสัตว์เลี้ยงไทย ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสอีกต่อไป แต่คือ “เมกะเทรนด์” ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด!

ผลวิจัยล่าสุดจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยามหิดล หรือ CMMU ชี้ชัดว่า ภายในปี 2569 ตลาดนี้จะมีมูลค่าทะลุ 101,000 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญคือพฤติกรรม “Pet Humanization” ที่คนยุคใหม่เลี้ยงสัตว์เสมือน “สมาชิกในครอบครัว” พร้อมทุ่มเทและทุ่มทุน เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้

สำหรับนักการตลาดและผู้ประกอบการ นี่คือโอกาสทองที่ต้องคว้าไว้ให้ได้ แต่คำถามคือ… เราจะปลดล็อกศักยภาพของตลาดนี้ได้อย่างไร?

รายงานจากงานสัมมนา “Pawssible Society: Pet Society Conference 2025” โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจว่า แก่นแท้ของการเอาชนะใจเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ ไม่ได้อยู่ที่การขายสินค้าพื้นฐาน แต่คือการมอบ “Peace of Mind” หรือ “ความสบายใจ” ให้กับพวกเขา ว่าสัตว์เลี้ยงแสนรักจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี และยืนยาวที่สุด

ตัวเลขที่น่าสนใจคือ กลุ่ม Pet Humanization ยอมจ่ายเงินเพื่อสัตว์เลี้ยงสูงถึง 50,500 บาทต่อปี/ตัว ซึ่งมากกว่าเจ้าของทั่วไปที่จ่ายเพียง 7,910 บาทถึง 6 เท่า!

นี่คือกลุ่มกำลังซื้อหลักที่ขับเคลื่อนตลาด และพวกเขาไม่ได้มองหาแค่ “สินค้า” แต่กำลังมองหา “โซลูชัน” ที่ตอบโจทย์ความกังวล และความต้องการในใจ

เปิดตัว “5P Model” กรอบกลยุทธ์ใหม่เพื่อพิชิตตลาดสัตว์เลี้ยง

CMMU ได้สรุปผลวิจัยเชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 357 คน ออกมาเป็น “โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ประกอบการในการวางกลยุทธ์ให้เฉียบคมและตรงจุด

ตลาดสัตว์เลี้ยงไทย, ตลาดสัตว์เลี้ยง, เทรนด์สัตว์เลี้ยง
ตลาดสัตว์เลี้ยงไทย, ตลาดสัตว์เลี้ยง, เทรนด์สัตว์เลี้ยง

1. Premiumization (อาหารและการดูแล): “ไม่ใช่แค่กินอิ่ม แต่คือการลงทุนเพื่อสุขภาพ

เจ้าของไม่ได้เลือกอาหารสัตว์จากราคาเป็นหลักอีกต่อไป แต่ให้น้ำหนักกับ คุณภาพวัตถุดิบ (56%) และ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ (41%) มากที่สุด พวกเขามองว่าอาหารเกรดพรีเมียม คือการลงทุนเพื่อสุขภาพ และอายุขัยที่ยืนยาวของสัตว์เลี้ยง

  • ข้อมูลสุดซีเคร็ท: กลุ่ม Super Premium ที่ยอมจ่ายค่าอาหารสูงถึง 120,000 บาทต่อปี/ตัว และ Gen Y คือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงสุดในเซกเมนต์นี้
  • โอกาสทางธุรกิจ: แบรนด์ต้องสื่อสารถึงคุณค่าทางโภชนาการ ความปลอดภัย และผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่จับต้องได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและ justify ราคาที่สูงขึ้น
ตลาดสัตว์เลี้ยงไทย, ตลาดสัตว์เลี้ยง, เทรนด์สัตว์เลี้ยง

2. Prevention (สุขภาพ): “ป้องกันก่อนป่วย คือ New Norm

เทรนด์การดูแลสุขภาพเปลี่ยนจาก “การรักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “การดูแลเชิงป้องกัน” อย่างสิ้นเชิง บริการยอดนิยม 3 อันดับแรกคือ ฉีดวัคซีน (86.3%), ตรวจสุขภาพประจำปี (65.3%) และทำหมัน (61%)

  • ข้อมูลเชิงลึก: เจ้าของเลือกสถานพยาบาลจาก ความใกล้บ้าน, ราคาที่สมเหตุสมผล, และความเชี่ยวชาญของสัตวแพทย์
  • โอกาสทางธุรกิจ: คลินิกและโรงพยาบาลสัตว์สามารถสร้างแพ็กเกจตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน, โปรแกรมวัคซีน, และให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลล่วงหน้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

3. Package (ประกันภัย): “ตลาดที่ใหญ่ แต่ยังไม่ถูกปลดล็อก

แม้ว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงกว่า 71% จะรู้จักประกันภัยสัตว์เลี้ยง แต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ซื้อจริง! นี่คือช่องว่างมหาศาลที่รอการเติมเต็ม

  • Pain Point: เจ้าของมองหาความคุ้มครองที่ครอบคลุม (75.8%) ในราคาเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล (ส่วนใหญ่ต้องการจ่ายไม่เกิน 2,500 บาท/ปี) และขั้นตอนการเคลมที่ง่ายดาย
  • โอกาสทางธุรกิจ: บริษัทประกันต้องออกแบบ “แพ็กเกจ” ที่เข้าใจง่าย คุ้มค่า และสื่อสารให้เห็นถึงความจำเป็นในการมีหลักประกันทางการเงิน เพื่อสร้าง Peace of Mind ในยามฉุกเฉิน

4. Proactivity (เทคโนโลยี): “ใกล้ชิด แม้ตัวอยู่ไกล

Pet Tech กำลังเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะ Smart Home Device (รู้จัก 93%) เจ้าของคาดหวังว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้พวกเขารู้สึก ใกล้ชิดและดูแลสัตว์เลี้ยงได้ แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

  • กลุ่มเป้าหมายหลัก: Gen Z ให้ความสนใจ Pet Tech มากที่สุด เพราะต้องการสร้างความผูกพันทางอารมณ์
  • โอกาสทางธุรกิจ: ตลาดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โอกาสไม่ได้อยู่ที่การขายอุปกรณ์ไฮเทคเท่านั้น แต่คือการสร้าง Ecosystem ที่เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ตำแหน่ง และพฤติกรรมไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมสร้างความน่าเชื่อถือและ User Experience ที่ใช้งานง่าย

5. Protection (กฎหมาย): “ความรับผิดชอบที่สร้างความสบายใจให้สังคม

เจ้าของกว่า 79% ตระหนักถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขและปลอดภัย

  • โอกาสทางธุรกิจ: แบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) และสื่อสารเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจัง จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและชุมชน

บทสรุปสำหรับนักการตลาด: เปลี่ยนจาก “ผู้ขาย” สู่ “ผู้ดูแลที่ไว้ใจได้”**

การจะประสบความสำเร็จในตลาดสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การผลักดันยอดขาย แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แบรนด์ต้องยกระดับตัวเองจากการเป็นเพียง “ผู้ขายสินค้า” ไปสู่การเป็น “ผู้ดูแลที่เข้าใจ” (Trusted Caretaker) ที่พร้อมจะมอบโซลูชันเพื่อสร้าง “Peace of Mind” ให้กับลูกค้าในทุกมิติ

หัวใจสำคัญคือการเข้าใจว่า สัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง แต่คือ “สมาชิกคนสำคัญของครอบครัว” แบรนด์ที่เข้าใจและตอบสนองต่อคุณค่านี้ได้อย่างแท้จริง จะไม่ใช่แค่ผู้ชนะในตลาด แต่จะกลายเป็นแบรนด์ที่เข้าไปนั่งในใจของลูกค้าได้อย่างยั่งยืน


เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ – สัตวแพทย์ในไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านวิชาชีพ