เราอาจเคยได้ยินมาบ้าง เกี่ยวกับภาวะไขมันพอกตับในมนุษย์ แล้วในทางฝั่งลูกรักขนฟูของเรา แมวมีภาวะไขมันพอกตับ ได้หรือไม่
คำตอบคือ ได้ค่ะ! แมวมีภาวะไขมันพอกตับ ได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์
ภาวะไขมันพอกตับในแมว หรือภาวะที่ตับสะสมไขมันสูงกว่าปกติ (Hepatic lipidosis) เป็นภาวะโรคตับที่พบได้บ่อยในแมว ทำให้เกิดภาวะดีซ่าน ตัวเหลือง ตับวาย และเสียชีวิตได้
โดยส่วนใหญ่ มักพบในแมวที่มีน้ำหนักเกิน หรือแมวอ้วน ที่มีอาการเบื่ออาหาร หรือไม่กินอาหารนานหลายวัน ซึ่งอาจเกิดร่วมกับอาการป่วยโรคอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดความไม่อยากกินอาหาร สำหรับในแมวที่มีน่ำหนักตัวปกติ ก็สามารถเกิดภาวะไขมันพอกตับได้เช่นกัน

สาเหตุของเกิดภาวะไขมันพอกตับในแมว
โรคไขมันพอกตับในแมวเกิดจากสะสมเซลล์ไขมันจำนวนมากในตับ โดยเซลล์ตับจะถูกแทนที่ด้วยไตรกลีเซอร์ไรด์มากกว่าร้อยละ 50 ของน้ำหนักตับทั้งหมด ส่งผลให้การทำงานของเซลล์ตับลดล งและแสดงความรุนแรงของโรคขึ้นภายหลัง อีกหนึ่งสาเหตุเกิดในแมวที่มีภาวะอดอาหารจะทำให้เกิดการสลายเนื้อเยื่อไขมัน และเกิดไตรกลีเซอร์ไรด์สะสมแทรกในเนื้อตับ
อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลัก ๆ มักมาจากโรคอ้วน (Obesity) เนื่องจากการกินอาหารที่มีระดับไขมันหรือโปรตีนสูงเป็นประจำเป็น ซึ่งอาจได้รับสารอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายทำให้ร่างกายมีพลังงานส่วนเกิน และเกิดการสะสมไตรกลีเซอร์ไรด์ในเนื้อตับ
นอกจากนี้ เมื่อระดับไขมันในเลือดสูง จะส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลินทำงานผิดปกติ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเบาหวานตามมาอีกด้วย ส่วนปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้เกิดไขมันพอกตับ เช่น การได้รับสารอาหารที่ไม่เหมาะสม ขาดสารอาหาร โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease) และการได้รับสารพิษที่มีผลต่อตับ เป็นต้น
อาการของแมวที่มีภาวะไขมันพอกตับ
- เบื่ออาหาร มีช่วงเวลาที่เบื่ออาหารยาวนานมากกว่า 2 สัปดาห์ หรือถ้าในแมวบางรายเช่นแมวอ้วน ขาดอาหารระยะเวลาสั้นๆ 48-72 ชั่วโมง อาจแสดงอาการได้
- น้ำหนักตัวลดลง โดยเฉลี่ยมากกว่า 25% ของน้ำหนักตัวปกติ
- มีภาวะดีซ่าน ตัวเหลือง เยื่อเมือกเหลือง
- อ่อนแรง ซึม
- อาเจียน คลื่นไส้
- ถ่ายเหลว หรืออาจมีภาวะท้องผูกได้
- มีภาวะแห้งน้ำรุนแรง
- มีอาการน้ำลายไหลมาก
- ในบางรายอาจมีอาการชัก มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือดจากภาวะตับวาย
การตรวจวินิจฉัย แมวมีภาวะไขมันพอกตับ
- การตรวจวินิจฉัยทางโลหิตวิทยา มักจะพบค่าเอนไซม์ตับผิดปกติ พบภาวะ Hyperbilirubinemia และอาจพบภาวะโลหิตจางร่วมด้วย
- การตรวจปัสสาวะพบบิลิรูบินในปัสสาวะ
- การอัลตร้าซาวด์อวัยวะบริเวณท้องจะมีความไวและจำเพาะ ช่วยในการวินิจฉัยภาวะนี้ได้
- การเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อตับ (Liver biopsy) เพื่อตรวจเนื้อเยื่อตับทางพยาธิวิทยา เป็นการวินิจฉัยขั้นสุดเพื่อยืนยันภาวะไขมันพอกตับ

แนวทางการรักษาแมวที่มีภาวะไขมันพอกตับ
การรักษาแมวที่ป่วยด้วยภาวะไขมันพอกตับ ต้องตรวจวินิจฉัยโรคที่ทำให้แมวเกิดภาวะไม่อยากอาหาร และรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุร่วมด้วย เพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำ
การรักษาด้วยการให้สารน้ำ (fluid therapy) เพื่อทำให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะไม่ขาดน้ำเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอาจมีความจำเป็นที่จะต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือด การให้ยาลดอาการคลื่นไส้ การแก้ไขภาวะเสียสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
จากนั้น จัดการเรื่องอาหารให้แมวกลับมากินอาหารด้วยการป้อน หรือบางรายอาจจะต้องให้อาหารผ่านท่อที่สอดจากจมูกสู่กระเพาะอาหาร (Nasogastric tube) โดยสัตวแพทย์จะคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมในการเริ่มกลับมาให้อาหาร เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับอาหารมากไปหลังอดอาหารมาเป็นระยะเวลานาน
การรักษาต้องทำร่วมกับการใช้โภชนบำบัด การเสริมวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยปกป้องเซลล์ตับ ภาวะไขมันพอกตับสามารถรักษาได้หากตรวจพบเร็ว และจัดการสาเหตุที่เป็นต้นตอของการเกิดภาวะนี้ อัตราการรอดชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 50-85 แต่ในรายที่รุนแรงก็สามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ดังนั้น การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา เราจึงควรจัดสรรอาหารให้พอดีกับความต้องการของแมว ถ้าพบว่าแมวของเรามีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเกิน สามารถปรึกษาสัตวแพทย์ เพื่อวางแผนเรื่องการจัดโภชนาการร่วมกันได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีปริมาณไขมันสูงเกินไป
บทความโดย
สพ.ญ.ปิยวรรณ ภู่ระหงษ์ สัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลแมว PURRfect Cat Hospital
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ – แมวอ้วน ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด กับปัญหาสุขภาพที่ตามมา
